วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทที่ ๔


บทที่๔
ผลการดำเนินงาน
๑.  ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
     ๑.๑  ได้เผยแพร่วิธีการทำขนมแนหรำผ่านทางอินเทอร์เน็ตในรูปของเว็บบล็อก
      ๑.๒  ได้ศึกษาวิธีการทำขนมแนหรำโดยการลงพื้นที่จริง
      ๑.๓  ได้ทราบถึงข้อแตกต่างระหว่างขนมแนหรำกับขนมเจาะหู
      ๑.๔  ได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของขนมแนหรำ
๒.  ได้เผยแพร่วิธีการทำขนมแนหรำผ่านทางอินเทอร์เน็ต
       การเผยแพร่วิธีการทำขนมแนหรำผ่านทางอินเทอร์เน็ตในรูปของเว็บบล็อกนั้น ทำให้ขนมแนหรำเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้มีความสะดวก รวดเร็ว ในการค้นคว้าหาข้อมูล และทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยผ่านเว็บบล็อกเรื่อง ขนมแนหรำ
๓.  วิธีการทำขนมแนหรำ
       
.  นำน้ำตาลตั้งบนเตา ใส่น้ำเล็กน้อยแล้วเคี่ยวจนน้ำตาลเดือดและเหนียวข้น
     .  นำน้ำตาลที่เคี่ยวมากรองเอากาก และเศษขยะออก
     .  นำน้ำตาลที่กรองแล้วไปเทผสมกับแป้งข้าวเจ้า ใช้ไม้พายคนแป้งเบาๆ แล้วนวดด้วยมือให้เข้ากันอีกครั้ง ถ้าแป้งเหนียวเกินไปให้ผสมน้ำเล็กน้อย
     .  นำใบตองมาทาน้ำมัน แล้วนำแป้งปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วใช้มือกดให้แบนบนใบตอง ใช้นิ้วเจาะรูตรงกลาง
     .  นำน้ำมันใส่กระทะตั้งไฟให้ร้อน แล้วนำแป้งที่เรากดจนแบนทอดให้เหลืองสุก แล้วยกขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน
     .  ขนมที่สุกจะมีสีน้ำตาลอมแดง หอมกรุ่นน่ารับประทาน
ข้อแตกต่างระหว่างขนมแนหรำกับขนมเจาะหู
       จากการศึกษาค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ตและลงพื้นที่ ทำให้ทราบว่าขนมแนหรำกับขนมเจาะหูนั้น เป็นขนมชนิดเดียวกัน แต่จะแตกต่างกันในส่วนของชื่อเรียก ภาคกลางหรือภาคอื่นๆจะเรียกขนมชนิดนี้ว่า ขนมเจาะหู แต่จังหวัดสตูลเรียกขนมชนิดนี้ว่า ขนมแนหรำ

ประวัติความเป็นมาของขนมแนหรำ
       จากการศึกษา ทำให้ทราบว่า ขนมชนิดนี้เป็นขนมโบราณ ที่มีมาช้านาน นับร้อยๆปีสำหรับขนมเจาะหูนี้ทำขึ้นเพื่อใช้ในงานบุญสารทเดือนสิบหรือทำบุญชิงเปรต ซึ่งประเพณีวันสารทเดือนสิบเป็นประเพณีของไทยที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีซึ่งทำกันในเดือน๑๐ ตรงกับวันขึ้น ๑๔ค่ำ ๑๕ค่ำ และแรม ๑ค่ำ ซึ่งมีความเชื่อว่าบรรพบุรุษของตนที่ล่วงลับไปแล้วบางพวกก็ไปสู่ที่ดีที่ชอบ บางพวกไปสู่ที่ชั่วได้รับความทุกข์ทรมานต่างๆนานาและได้รับความอดอยากอย่างแสนสาหัส ผู้ที่มีบาปมีกรรมต้องไปทนทุกข์ทรมานเป็นเปรตในอบายภูมิ เมื่อถึงวันแรม ๑ เดือน ๑๐ จะได้รับการปลดปล่อยออกมาเยี่ยมลูกหลาน พร้อมทั้งรับส่วนกุศลที่ลูกหลานอุทิศให้ และ วันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เป็นวันที่ส่งเปรตกลับยมโลก ลูกหลานจึงทำบุญเลี้ยงส่งอีกครั้งหนึ่ง ก่อนถึงวันทำบุญ ชาวบ้านจะเตรียมทำขนมเจะหู ซึ่งเป็นขนมที่ทำขึ้นที่ใช้ในการทำบุญสารทเดือนสิบ หรือทำบุญชิงเปรต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น